การเฝ้าระวังความเสี่ยงใหม่
ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Emerging Risk Monitoring)
บริษัทฯ ติดตามสถานการณ์ และแนวโน้มของปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการของระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) แบ่งเป็น 6 ด้าน ตาม PESTEL Analysis Framework
ซึ่งประกอบด้วย มุมมองด้าน Political, Economic, Social, Technological, Environmental และ Legal และให้ความสำคัญกับปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งผลจากระบบเตือนภัยล่วงหน้าจะนำมาจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า และสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจ
ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ผลกระทบต่อธุรกิจ และการป้องกัน
บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า บริษัทฯ จึงได้วิเคราะห์ประเด็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจและการดำเนินงานของแต่ละปัจจัยเสี่ยง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดมาตรการลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และติดตามความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งในระยะปานกลางจนถึงระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ และช่วยให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายตามกลยุทธ์และทิศทางตามที่กำหนดไว้
ภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคตจากความล้มเหลวในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Extreme Weather Events due to Failure to Mitigate Climate Change)
คำอธิบายความเสี่ยง เหตุและผล (Description Cause and Consequence):
ความล้มเหลวของมาตรการการจัดการด้านเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของทั้งภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้ระดับก๊าซเรือนกระจกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ของสังคม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
บริษัทฯ เผชิญทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) และความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่รุนแรง ตัวอย่างของความเสี่ยงทางกายภาพ ได้แก่ ภัยแล้ง (รวมถึงไฟป่า) และน้ำท่วม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับตัวอย่างความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน อาทิ บทลงโทษตามกฎระเบียบและการกำหนดราคาคาร์บอนในอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจทำให้เกิดความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินในระดับที่รุนแรงได้
อ้างอิงจาก: The Global Risks Report 2024
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
สิ่งแวดล้อม (Environmental)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Factor) และภาวะเศรษฐกิจสังคม(Socioeconomic Factors)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของสภาพภูมิอากาศ อาจกระทบต่อแหล่งวัตถุดิบ การจำกัดอุปทานของน้ำมันดิบ หรือเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ ส่งผลต่อความต่อเนื่องในกระบวนการผลิตของบริษัทฯ
- การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือ รวมถึงความสนใจจากนักลงทุน
- ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ต้นทุนคาร์บอนเครดิต และความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยี ลดการปล่อยมลพิษ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
- ความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ จำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค
- การผลักดันทั่วโลกให้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล มูลค่าของสินทรัพย์ของบริษัทฯ ที่เชื่อมโยงกับกระบวนการปิโตรเคมีแบบดั้งเดิมอาจมีมูลค่าลดลง
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก เพื่อระบุผลกระทบสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้การวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง (Qualitative and Quantitative Climate-Related Scenario Analysis) ผ่านแบบจำลอง เช่น RCP 2.6, IEA 2DS, IEA B2DS เป็นต้น รวมถึงการการวิเคราะห์สถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Worst-case Scenario) เพื่อนำมากำหนดสมมติฐาน ตั้งเป้าหมาย และกำหนดกลยุทธ์ทิศทางการดำเนินธุรกิจให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเหมาะสม
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (Medium to Long Term 3-10 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact) / ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญประเมินโอกาสการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคต และคาดการณ์ผลกระทบทั้งต่อทรัพย์สินและการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ความเสี่ยงภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น โดยได้ดำเนินการตามมาตรฐานสากล ภายใต้กรอบของ IFRS S2 Climate-related Disclosures
- ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง และบริหารความเสี่ยงด้านการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนผ่านคณะทำงานเตรียมความพร้อมรับมือภัยแล้ง (Water Management Taskforce) โดยผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในกระบวนการผลิต ตลอดจนการหาแหล่งน้ำสำรองเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีน้ำเพียงพอต่อการเดินเครื่องของโรงงานปัจจุบัน รวมถึงรองรับโครงการในอนาคต
- ฝึกซ้อมแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในสถานการณ์สมมุติที่แตกต่างกันไป
- ติดตาม ประเมินผลกระทบและโอกาสจากนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว
- จัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เพื่อใช้กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ
- มุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Decarbonization Roadmap ที่กำหนดไว้ เพื่อลดผลกระทบ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ
การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ (Biodiversity Loss and Ecosystem Collapse)
คำอธิบายความเสี่ยง เหตุและผล (Description Cause and Consequence):
ความล้มเหลวในการบรรเทาปัญหาและการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เกิดสภาพอากาศรุนแรงแบบสุดขั้ว เกิดความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของกระบวนการผลิตและเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทฯ ที่อาจลดลง
การเติบโตทางเศรษฐกิจบริษัทฯ นั้นมีความเกี่ยวพันกับทุนธรรมชาติอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น (Upstream Unit) ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเลียม แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นความเสื่อมถอยทั้งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและทั้งด้านทุนทางธรรมชาติ สามารถก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรง อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินการลงทุนและต้นทุนการดำเนินงานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ
อ้างอิงจาก: The Global Risks Report 2024
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
สิ่งแวดล้อม (Environmental)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Factor) และเทคโนโลยี (Technological Factors)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- การพังทลายของระบบนิเวศและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของสภาพภูมิอากาศ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต
- การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของบริษัทฯ ต่อผู้มีส่วนได้เสีย และความสนใจจากนักลงทุน
- ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการแสวงหาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการรับมือกับการล่มสลายของระบบนิเวศ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ ได้ใช้ตัวกรองความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของ WWF (World Wide Fund for Nature, Biodiversity Risk Filter: WWF BRF) เพื่อประเมินศักยภาพในการพึ่งพาระบบนิเวศและผลกระทบของโครงการที่มีอยู่และโครงการที่เสนอของบริษัทฯ ในอนาคต เพื่อช่วยให้บริษัทฯ ตอบสนองต่อความเสี่ยงและโอกาสด้านความหลากหลายทางชีวภาพครอบคลุมทุกกิจกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (Medium to Long Term 3-10 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact)/ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- คัดกรองความเสี่ยงเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญสำหรับทุกสถานที่ปฏิบัติการ รวมถึงคู่ค้าและลูกค้ารายสำคัญ ด้วยกระบวนการประเมินอย่างเป็นระบบ และบูรณาการการประเมินและการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพผ่านนโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และความต่อเนื่องทางธุรกิจ
- ประยุกต์ใช้หลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับขั้น (Mitigation Hierarchy Principle) ในการป้องกัน หลีกเลี่ยง บรรเทา ฟื้นฟู และชดเชยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า
- ส่งเสริมให้การดำเนินโครงการทั้งในปัจจุบันและอนาคต มีการสร้างผลกระทบสุทธิเชิงบวก (Net Positive Impact) รักษาเป้าหมาย No Net Loss (NNL)
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมการดำเนินงานใกล้กับสถานที่ที่มีความอ่อนไหวด้านความหลากหลายชีวภาพ และระบบนิเวศที่เปราะบาง เช่น IUCN Red List พื้นที่มรดกโลก พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่สงวนชีวมณฑล พื้นที่คุ้มครอง IUCN Category I IV เป็นต้น
- มุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Decarbonization Roadmap ที่กำหนดไว้ และผลักดันเป้าหมาย Efficiency-driven การปรับพอร์ตโฟลิโอเพื่อลดผลกระทบ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ
แนวโน้มความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในอนาคตจากวิกฤตทรัพยากรธรรมชาติและมาตรการภาครัฐ(Changing Consumer Trend from Natural Resource Shortage and Regulatory)
คำอธิบายความเสี่ยง เหตุและผล (Description Cause and Consequence):
เนื่องจากการตื่นตัวและตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค ตลอดจนนโยบายลดการใช้พลาสติกที่มีความเข้มข้นมากขึ้น รวมถึงการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และการส่งเสริมการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป
อ้างอิงจาก: The Global Risks Report 2024
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
สังคม และสิ่งแวดล้อม (Social and Environmental)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Factor) และเทคโนโลยี (Technological Factors)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- มาตรการจากภาครัฐ อาทิ นโยบายการเลิกใช้พลาสติกประเภท Single-use มาตรการภาษีบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือย่อยสลายยาก (Plastic Tax) มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) สามารถส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น เนื่องจากการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัตถุดิบตั้งต้น
- ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีฯ ลดลง กระทบต่อความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทฯ
- การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนภายใต้หลักการขยายความรับผิดชอบไปยังผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทและขยายความรับผิดชอบในการผลิตและการกำจัดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมทั้งเคมีภัณฑ์ต่างๆ ที่อาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- อาจสร้างผลกระทบด้านภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทฯ ในฐานะผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำของโลก
- บริษัทฯ สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจ และยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนองต่อความต้องการผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในอนาคต โดยพิจารณาครอบคลุมถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (Megatrends) ปัจจัยภายนอก พฤติกรรมผู้บริโภค การรับฟังเสียงของลูกค้า (Voice of Customer) ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อนำมาประกอบการกำหนดกลยุทธ์และจัดทำแผนธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (3-10 ปี)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- ดำเนินกลยุทธ์การปรับพอร์ตโฟลิโอการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ กำหนดแผนการดำเนินโครงการที่ชัดเจน และกำหนดให้มีการติดตามและควบคุมการดำเนินงานของโครงการเป็นประจำ
- ส่งเสริมนวัตกรรม เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพสนองตอบความต้องการของผู้บริโภค
- ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับลดสัดส่วนของธุรกิจที่ปลดปล่อยคาร์บอนสูง โดยพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับ Business Model และสรรหา Partner ที่มีความต้องการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ
- สร้างความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยี (Tech Startups) และ Venture Capital (VC) ทั่วโลก เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุน โดยมุ่งเน้นในเทคโนโลยีใหม่ที่สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ และเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงตาม Megatrends
- ทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคมในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ความขัดแย้งทางด้านภูมิเศรษฐศาสตร์โลก (Geoeconomic Confrontations)
คำอธิบายความเสี่ยง เหตุและผล (Description Cause and Consequence):
อุตสาหกรรมพลาสติกต้องเผชิญกับการกดดันจากปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่วิกฤตราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความช่วยเหลือและมาตรการทางการเงินจากรัฐที่ขาดเสถียรภาพ ประกอบกับความตึงเครียดทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ และการใช้ข้อกีดกันทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการสร้างข้อได้เปรียบทางการเมือง ทำให้เกิดความยากลำบากในการร่วมมือด้านเศรษฐกิจและเกิดห่วงโซ่อุปทานที่สั้นลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในประเด็นด้านความต้องการสินค้าที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาอุปทานคอขวด ความไม่แน่นอนในการลงทุน การกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี หรือประเด็นเกี่ยวกับการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ
อ้างอิงจาก: The Global Risks Report 2023
การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางด้านภูมิเศรษฐศาสตร์โลก สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่: https://www.pttgcgroup.com/en/document/viewer/92296/analyst-meeting-q3-2023 หน้า 38
For more detail:
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Factor) และเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics Factor)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- ราคาเม็ดพลาสติกมีความผันผวนตามราคาน้ำมันดิบโลก จากความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ทางการเมือง (Geopolitical Risk) จึงอาจกระทบต้นทุนการผลิตเป็นระยะๆ
- กำลังซื้อที่ลดลงจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น มาพร้อมกับประชากรและผู้บริโภคที่ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในขณะที่ผู้ผลิตอาจยังไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังตลาดสินค้าปลายทางได้มากนัก
- ผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของบริษัทฯ ทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบ เครื่องจักร อุปกรณ์ และสารเคมีที่สำคัญ ก่อให้เกิดข้อจำกัดและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงเกิดความผันผวนของทิศทางเศรษฐกิจ
- มาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ อาจทำให้บริษัทฯ สูญเสียตลาดและความสามารถในการแข่งขัน
- แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ และสภาวะการขาดความคล่องตัวทางด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีการชะลอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตและแผนการลงทุนของบริษัทฯ
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ วิเคราะห์และกำหนดสถานการณ์ที่เป็นไปได้ (Scenario Analysis) ในสถานการณ์ระดับราคาวัตถุดิบต่างๆ เพื่อนำมาประเมินผลกระทบต่อแผนธุรกิจ และแผนกลยุทธ์ระยะยาวขององค์กร โดยกำหนดให้มีการติดตาม ทบทวน และอัปเดตสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (Medium to Long Term 3-10 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์ มาตรการกีดกันทางการค้าของต่างประเทศ ที่อาจมีผลต่อการลงทุนและผลประกอบการอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาประเมินผลกระทบต่อแผนธุรกิจ และแผนกลยุทธ์ระยะยาวขององค์กร โดยกำหนดให้มีการติดตาม ทบทวน และอัปเดตสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
- จัดทำแผนธุรกิจเพื่อรองรับสถานการณ์ที่หลากหลาย (Scenario Planning) ในสถานการณ์ระดับราคาวัตถุดิบต่างๆ รองรับและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างทันท่วงที
- มุ่งเน้นการกำหนดมาตรการที่สร้างความยืดหยุ่นและสร้างทางเลือก (Flexibility and Optionality) ในด้านตลาดและผลิตภัณฑ์ ให้บริษัทฯ สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจได้อย่างคล่องตัวในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านยอดขายและกำไร
- บริหารจัดการสายโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ให้มีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์สถานการณ์และคาดการณ์ความเสี่ยงร่วมกับคู่ค้า สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้ารายสำคัญ รวมทั้งการเพิ่มจำนวนคู่ค้าที่มีศักยภาพภายในภูมิภาค