การเฝ้าระวังความเสี่ยงใหม่
ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Emerging Risk Monitoring)
บริษัทฯ ติดตามสถานการณ์ และแนวโน้มของปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการของระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) แบ่งเป็น 6 ด้าน ตาม PESTEL Analysis Framework
ซึ่งประกอบด้วย มุมมองด้าน Political, Economic, Social, Technological, Environmental และ Legal และให้ความสำคัญกับปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งผลจากระบบเตือนภัยล่วงหน้าจะนำมาจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า และสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจ
ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ผลกระทบต่อธุรกิจ และการป้องกัน
(Emerging Risk with คำอธิบายความเสี่ยง (Risk Description) Potential Impacts & Mitigations)
บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า บริษัทฯ จึงได้วิเคราะห์ประเด็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจและการดำเนินงานของแต่ละปัจจัยเสี่ยง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดมาตรการลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และติดตามความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งในระยะปานกลางจนถึงระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ และช่วยให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายตามกลยุทธ์และทิศทางตามที่กำหนดไว้
ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk)
คำอธิบายความเสี่ยง (คำอธิบายความเสี่ยง (Risk Description):
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่รุนแรงส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและมีอัตราการเกิดบ่อยครั้งขึ้น จึงนำมาซึ่งการตั้งเป้าหมายร่วมกันของประเทศต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยรัฐบาลไทยตั้งเป้าหมายในการเป็นประเทศที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี พ.ศ. 2593 และจะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี พ.ศ. 2608 ส่งผลให้มีการออกนโนบาย และการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมยังส่งผลทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่างให้ความสำคัญต่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในรายงานตามแนวทางของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD)
สำหรับรายงานตามแนวทางของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
TCFD 2022ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
สิ่งแวดล้อม (Environmental)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยทางธรรมชาติ (Natural Factor)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักทางธุรกิจและกิจกรรมสำคัญของบริษัทฯ รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน และความปลอดภัยของพนักงาน หากบริษัทฯ ไม่มีการปรับตัวและเตรียมการรับมือไว้อย่างเพียงพอ
- หากขาดแผนการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบให้เกิดการขาดแคลนน้ำในกระบวนการผลิต ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต ส่งผลต่อรายได้ และความน่าเชื่อถือด้านปฏิบัติการของบริษัทฯ
- ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ อาจเพิ่มสูงขึ้นจากความพยายามในการลดการปล่อยมลพิษ และต้นทุนคาร์บอนเครดิต เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของกฎ ระเบียบเหล่านี้ยังส่งผลต่อความต้องการผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำมากยิ่งขึ้น
- บริษัทฯ เปลี่ยนความเสี่ยงไปสู่โอกาส โดยขยายการลงทุนในผลิตภัณฑ์และธุรกิจคาร์บอนต่ำโดยเพิ่มการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดูแลประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค รักษามูลค่าผลประกอบการของบริษัทฯ สร้างมูลค่าร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ ได้วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก เพื่อระบุผลกระทบสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้การวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง (Qualitative and Quantitative Climate-Related Scenario Analysis) ผ่านแบบจำลอง เช่น RCP 2.6, IEA 2DS, IEA B2DS เป็นต้น เพื่อนำมากำหนดสมมติฐาน ตั้งเป้าหมาย และกำหนดกลยุทธ์ทิศทางการดำเนินธุรกิจให้สามารถปรับตัว และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างเหมาะสม
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (Medium to Long Term 3-10 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact) /ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
บริษัทฯ ดำเนินกลยุทธ์ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ Task Force onClimate-Related Financial Disclosures (TCFD) โดยมีรายละเอียดของมาตรการจัดการความเสี่ยงและโอกาส ดังนี้
ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks)
- จัดทำและฝึกซ้อมแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในสถานการณ์สมมุติที่แตกต่างกันไป ทั้งในระดับองค์กร ระดับกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ รวมถึงบริษัทในกลุ่ม เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการหรือแผนลดผลกระทบต่อลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียมีความเพียงพอสามารถใช้งานได้จริง รวมถึงให้ผู้บริหาร และพนักงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงบทบาทหน้าที่และสิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติการณ์ขึ้น และช่วยให้สามารถบ่งชี้ถึงข้อบกพร่องต่างๆ ในการดำเนินมาตรการสำรอง เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะเกิดอุบัติการณ์จริงขึ้น
- ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาในการประเมินโอกาสการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคต และคาดการณ์ผลกระทบทั้งต่อทรัพย์สินและการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเฝ้าระวังและเตรียมการรองรับสถานการณ์ความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้
ความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks)
- ด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และนโยบาย (Policy and Legal)
- ติดตาม และประเมินผลกระทบและโอกาสจากนโยบายก้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงติดตามผลการดำเนินงาน ทบทวนกลยุทธ์เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้สอดคล้องตามนโยบาย กฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
- จัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยอ้างอิงวิธีคำนวณตามมาตรฐาน ISO 14064-1:2018, the Greenhouse Gas Protocol, สถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (American Petroleum Institute : API 2009) คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC 2006) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อใช้กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ
- ด้านเทคโนโลยี (Technology)
- เพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุงกระบวนการผลิตปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ศึกษาและแสวงหาโอกาสการลงทุนในเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นในเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การลงทุนในเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) เทคโนโลยีขั้นสูงในการนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่
- ด้านความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป (Market)
- ปรับลดสัดส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastic) อาทิ ถุงพลาสติก และเพิ่มสัดส่วนการผลิตของเม็ดพลาสติกสำหรับสินค้าคงทน หรือกึ่งคงทนทดแทน
- ปรับ Portfolio การลงทุนสู่ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์พิเศษที่มีมูลค่าสูง (High Value Business: HVB) มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง (High Value Product: HVP) พลาสติกชีวภาพ และพลาสติกรีไซเคิล เป็นต้น
- ด้านชื่อเสียงและภาพลักษณ์องค์กร (Reputation)
- ให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์ และการสร้างความเข้าใจผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Upcycling the Oceans, Thailand โครงการ ThinkCycle Bank โครงการ Thailand Public-Private Partnership for Plastic and Waste Management ตลอดจนการจัดงาน GC Circular Living Symposium 2022 เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน
โอกาส (Opportunity)
- ด้านการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency and Energy Source)
- ดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาทิ โครงการ Maptaphut Integration (MTPi) โครงการด้านการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะสามารถยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนลดต้นทุนการผลิต
- ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ (Product and Service)
- จัดตั้งศูนย์ความร่วมมือและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Customer Solution Center: CSC) เพื่อร่วมเรียนรู้และสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค ผ่านความร่วมมือกับลูกค้า และพันธมิตรในการออกแบบ และเพิ่มมูลค่าของสินค้าจากขยะพลาสติกให้สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้
- สร้างความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยี (Tech Startups) และ Venture Capital (VC) ทั่วโลก เพื่อยกระดับความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และคาร์บอนต่ำ
- ด้านความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป (Market)
- เพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นร้อยละ 35 ในปี พ.ศ. 2573 โดยการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่มีการปลดปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ การลงทุนในผลิตภัณฑ์สีเขียว เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ เป็นต้น รวมถึงผลิตภัณฑ์รีไซเคิล ผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูง และผลิตภัณฑ์อัพไซเคิล เพื่อสร้างมูลค่าร่วมให้กับผู้ใช้ และดำเนินการตามกรอบความยั่งยืน
- ต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืนโดยทำงานร่วมกับทีมงาน allnex เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต และยกระดับเทคโนโลยีนวัตกรรมชั้นสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมุ่งแสวงหาการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดใหม่ๆ และมุ่งมั่นพัฒนาสารเคลือบที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม
- ศึกษาและติดตามธุรกิจใหม่ (Emerging Business) จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต
- ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัวของธุรกิจ (Resilience)
- ผลักดันการลงทุนในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์พิเศษที่มีมูลค่าสูง (High Value Business: HVB) โดยมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตและความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง มีความผันผวนของราคาต่ำ และปล่อยคาร์บอนต่ำ ผ่านการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition: M&A)
ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในอนาคต (Consumer Trends Risk)
คำอธิบายความเสี่ยง (Risk Description):
แนวโน้มการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน(Energy Transition) ที่เร่งตัวขึ้น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ นโยบายภาครัฐ และการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ รวมถึงเทคโนโลยีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circularity) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของบริษัทฯ อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป เม็ดพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง เปลี่ยนแปลงลดลงในอนาคต
พร้อมกันนี้ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียต่อบริษัทฯ ในการมีบทบาทการบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ และต้องการให้บริษัทฯ มีการเปิดเผยแผนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในอนาคต นั้นเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
สังคม (Social)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Factor) และเทคโนโลยี (Technological Factors)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- การเปลี่ยนผ่านของความต้องการของผู้บริโภคจากสินค้าอุปโภคแบบดั้งเดิม ไปสู่สินค้าประเภทเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ อาจเป็นการลดความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของบริษัทฯ ในตลาด กระทบต่อความสามารถในการสร้างรายได้
- ความกดดันจากการเปลี่ยนผ่านข้างต้น ยังส่งผลให้บริษัทฯ ต้องมีการปรับพอร์ตโฟลิโอของผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน รวมถึงผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องมีการจัดสรรงบประมาณลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากยิ่งขึ้น
- นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค อาจมีผลกระทบด้านภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทฯ ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำของโลก จึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัทฯ อาจเผชิญชื่อเสียงทางด้านลบ ซึ่งนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียอาจไม่สนับสนุนองค์กรในแง่ของการสนับสนุนทางการเงินและการดำเนินงานต่างๆ ของบริษัทฯ
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในอนาคต โดยพิจารณาครอบคลุมถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (Megatrends) ปัจจัยภายนอกต่างๆ อาทิ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า แนวโน้มการเกิดจุดสูงสุดของการใช้น้ำมันโลก (Peak Oil Demand) ตลาด และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลเป็นต้น เพื่อนำมาประกอบการกำหนดกลยุทธ์และจัดทำแผนธุรกิจ
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (Medium to Long Term 3-10 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- เพิ่มสัดส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกสำหรับสินค้าคงทนหรือกึ่งคงทนทดแทนการผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastic)
- สร้างโอกาสในการขยายสู่ตลาดผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดกลยุทธ์ลงทุนในธุรกิจพลาสติกรีไซเคิล rPET และ rHDPE
- จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้และรายละเอียดการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Green Business เพื่อขยายธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจจากกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น และต่อยอดสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
- ดำเนินกลยุทธ์ปรับพอร์ตโฟลิโอการลงทุนสู่ธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ ได้แก่กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์พิเศษที่มีมูลค่าสูง (High Value Business: HVB) มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง (High Value Product: HVP) พลาสติกชีวภาพ และพลาสติกรีไซเคิล เป็นต้น
- ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับลดสัดส่วนของธุรกิจที่ปลดปล่อยคาร์บอนสูง โดยพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับ Business Model และสรรหา Partner ที่มีความต้องการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ GC
- สร้างความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยี (Tech Startups) และ Venture Capital (VC) ทั่วโลกเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุน โดยมุ่งเน้นในเทคโนโลยีใหม่ที่สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ และเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงตาม Megatrends
ความขัดแย้งทางด้านภูมิเศรษฐศาสตร์โลก (Geoeconomic Confrontations)
คำอธิบายความเสี่ยง (Risk Description):
การแข่งขันและแบ่งขั้วระหว่างประเทศมหาอำนาจ ปัญหาโลกร้อนและทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด ความตึงเครียดทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งทางการทหารระหว่างประเทศ จะทำให้ประเทศต่างๆ ต้องเผชิญความท้าทายในการร่วมมือด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในประเด็นด้านความต้องการสินค้าที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาอุปทานคอขวด ความไม่แน่นอนในการลงทุน การกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี หรือประเด็นเกี่ยวกับการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Factor) และเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics Factor)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- ความเสี่ยงด้าน ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อภาวะเศรษฐกิจการเงินในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา (Developing Economies) ผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อความต้องการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย ซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทฯ
- ความขัดแย้งทางระหว่างขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ จะส่งผลให้เกิดการกำหนดมาตรการกีดกันทางการค้าและมาตรฐานเฉพาะของแต่ละประเทศ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศและสร้างความได้เปรียบทางการค้า ซึ่งอาจทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น สูญเสียตลาดและความสามารถในการแข่งขัน และอาจไม่สามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้มีส่วนได้เสียในระยะยาวได้
- ความผันผวนของทิศทางเศรษฐกิจ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ สภาวะการขาดความคล่องตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการโจมตีทางเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนลดน้อยลง นักลงทุนจะชะลอการลงทุน ส่งผลต่อทิศทางการลงทุนของบริษัทฯ
- ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจส่งผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของบริษัทฯ ทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบ เครื่องจักร อุปกรณ์ และสารเคมีสำคัญ รวมถึงข้อจำกัด อุปสรรค ระยะเวลา และต้นทุนในการจัดส่งสินค้าจากคู่ค้าและให้กับลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
บริษัทฯ ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ความตึงเครียด ทั้งจากสถานการณ์สงคราม รวมถึงโอกาสในการเกิดการแบ่งขั้วอำนาจของระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อการลงทุน และผลประกอบการ อย่างใกล้ชิด โดยบริษัทฯ ได้วิเคราะห์และกำหนดสถานการณ์ที่เป็นไปได้ 4 ระดับย่อย เพื่อนำมาประเมินผลกระทบต่อแผนธุรกิจ และแผนกลยุทธ์ระยะยาวขององค์กร โดยกำหนดให้มีการติดตาม ทบทวน และอัพเดทสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลางถึงระยะยาว (Medium to Long Term 3-10 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- ติดตาม ประมวลผล และวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (Megatrend) รวมถึงแนวโน้มอุตสาหกรรม/ตลาด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน เพื่อใช้ในการคาดการณ์ราคาสินค้า ต้นทุนการผลิตและการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
- จัดทำแผนธุรกิจเพื่อรองรับสถานการณ์ที่หลากหลาย (Scenario Planning) ในสถานการณ์ระดับราคาวัตถุดิบต่างๆ รองรับและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างทันท่วงที
- กำหนดมาตรการที่สร้างความยืดหยุ่นและสร้างทางเลือก (Flexibility and Optionality) ในด้านตลาดและผลิตภัณฑ์ ให้บริษัทฯ สามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจได้อย่างคล่องตัวในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านยอดขาย และกำไร
- วิเคราะห์สถานการณ์และคาดการณ์ความเสี่ยงร่วมกับคู่ค้า สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้ารายสำคัญ ตลอดจนการทำสัญญาระยะยาวเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทฯ จะไม่เผชิญปัญหาการขาดแคลนสินค้าหรืออะไหล่สำรองในการดำเนินงาน
- ติดตามประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศต่างๆ เพื่อกำหนดแนวทางในการรับมือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- กำหนดให้มีแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อยกระดับศักยภาพพนักงานให้พร้อมต่อการแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
วิกฤตหนี้ (Debt crises)
คำอธิบายความเสี่ยง (Risk Description):
The World Economic Forum (WEF) คาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินของทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจอาจเผชิญความเสี่ยงจากปริมาณหนี้สินที่สูงขึ้นจากผลทางเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง ความสามารถในการชำระหนี้ การจัดหาเงินทุน และกระทบต่อเนื่องไปยังการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเภทความเสี่ยง (Category of Risk):
เศรษฐกิจ (Economic)
แหล่งที่มา (Source of Risk):
ปัจจัยจากเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics Factor)
ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้ราคาและความต้องการผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีลดลงอย่างมาก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ
- วิกฤติการณ์สภาวะหนี้ ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลต่อสถานะการเงินของลูกค้า คู่ค้า จนอาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ และการส่งมอบสินค้าและบริการให้กับบริษัทฯ
- ราคาต้นทุนที่สูงขึ้นตามอุปสงค์และอุปทานของสินค้า และต้นทุนการบริหารจัดการ อาจส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการสร้างรายได้ ไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสีย
- สัดส่วนหนี้ที่สูงขึ้นอาจทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ สูงขึ้น และกระทบต่อความสามารถในการจัดหาเงินทุนฯ และการรักษาระดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน (Credit Rating) ให้อยู่ในระดับลงทุน (Investment Grade)
- บริษัทฯ อาจไม่สามารถลงทุนได้ตามแผนกลยุทธ์หรือตามเป้าหมายการลงทุนโครงการที่ตั้งไว้ หากไม่มี Debt Headroom คงเหลือ
การวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ (Scenario Analysis):
- มีการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis) และทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) ในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อกำไรสุทธิขององค์กร โดยใช้แบบจำลองทางการเงินเพื่อพิจารณาผลกระทบต่อกำไรสุทธิจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยสำคัญ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบ และราคาสินค้าหลัก เป็นต้น เพื่อนำมากำหนดมาตรการรองรับในการ บรรเทาหรือลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
- วิเคราะห์และกำหนดสถานการณ์ที่เป็นไปได้ 4 ระดับย่อย เพื่อนำมาประเมินผลกระทบต่อแผนธุรกิจ และแผนกลยุทธ์ระยะยาวขององค์กร โดยกำหนดให้มีการติดตาม ทบทวน และอัพเดทสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
กรอบเวลาการเกิดผลกระทบ (Timeframe):
ระยะกลาง (Medium Term 3-5 Years)
ประเภทของผลกระทบ (Type of Impact):
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Ecomomic Impact)
มาตรการรองรับปัจจัยเสี่ยง และโอกาส (Mitigation and Opportunities):
- กำหนดมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ (Price Volatility Risk) ด้านการขายและการตลาด (Sale & Marketing Risk) และด้านการบริหารจัดการคู่สัญญา/คู่ค้า (Counterparty Risk)
- เพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการลดผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ครอบคลุมทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ วัตถุดิบ การผลิต การขาย การลงทุนโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่าย และการสื่อสาร
- ผลักดันกลยุทธ์ในการปรับพอร์ตฟอลิโอธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค (Performance Product) มากขึ้น รวมทั้งแสวงหาโอกาสขยายการขายไปยังตลาดส่งออกอื่นๆ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนและเพิ่มความคล่องตัวด้านการขายจากสภาวะการขาดความคล่องตัวทางด้านเศรษฐกิจ
- มีกระบวนการทบทวนและตรวจสอบความเสี่ยงของคู่ค้ารายสำคัญโดยใช้การประเมินแบบ ESG Assessment รวมทั้งประเมินสถานะทางการเงินในระหว่างขั้นตอนการขึ้นทะเบียนผู้ขายรายใหม่ (Vendor List)โดยมีการตรวจประเมินและติดตามความเสี่ยงด้านสภาพคล่องเป็นประจำ
- มีกระบวนการทบทวนและจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนและการจัดการทรัพยากรในอนาคต (Project Prioritization) บนสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นไปได้ต่างๆ โดยมุ่งเน้นพิจารณาทางเลือกการจัดหาเงินทุนเพื่อไม่ให้กระทบต่อ Credit Rating และวินัยทางการเงิน