โครงการลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ
ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการปล่อยมลพิษทางอากาศหลายโครงการด้วยกัน เพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศทั้ง ภายในพื้นที่โรงงาน พื้นที่ออฟฟิศและบริเวณโดยรอบของพื้นที่ของบริษัทฯ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามกฎหมายข้อบังคับและหลักมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ยังประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ผ่านการประสานความร่วมมือกับภาครัฐ และผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่างๆ เพื่อให้เกิด ประสิทธิผลสูงสุด
บริษัทฯ ควบคุมการปล่อยก๊าซประเภทออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และก๊าซออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) จากกระบวนการผลิตตามมาตรฐานที่กำหนดในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) และกฎหมายไทยอย่างสม่ำเสมอ โดยบริษัทฯ จัดทำโครงการเพื่อตรวจ ติดตาม และเฝ้าระวังผลการปล่อย NOx และ SOx เช่น
- ใช้ระบบการตรวจวัดมลพิษทางอากาศแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (Continuous Emissions Monitoring System: CEMS) และติดตามคุณภาพอากาศโดยห้องปฏิบัติการภายนอกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นระยะ
- ปรับปรุงระบบกังหันโดยใช้ก๊าซ (Gas Turbines) และระบบการเผาไหม้ที่ลดการก่อตัวของก๊าซ NOx (Ultra Low NOx Burner) เพื่อลดมลพิษจาก NOx ที่ปล่อยออกจากแหล่งกำเนิด
- จัดทำนโยบายในการเลือกใช้วัตถุดิบและเชื้อเพลิง ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
- ใช้เชื้อเพลิง และวัตถุดิบตั้งต้นที่มีปริมาณซัลเฟอร์ต่ำ เพื่อลดการปล่อย SOx จากการเผาไหม้
- ลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดปริมาณการปล่อย SOx
ในปี 2566 มีโครงการที่โดดเด่นด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการปล่อยมลพิษทางอากาศ ดังนี้
โครงการศึกษาคุณภาพอากาศ ผ่านการเก็บตัวอย่าง สารเบนซีน และ1,3-บิวทาไดอีน ริมรั้วโรงงาน
บริษัทฯ ดำเนินการศึกษาคุณภาพอากาศผ่านการเก็บตัวอย่าง สารเบนซีน และ 1,3-บิวทาไดอีน ริมรั้วโรงงาน ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อเป็นแนวทางการกำหนดค่ามาตรฐานในการเฝ้าระวังติดตามสารเบนซีน และ 1,3-บิวทาไดอีนริมรั้วโรงงาน โดยกำหนดจุดตรวจวัดให้ครอบคลุมพื้นที่ริมรั้วโรงงาน และทำการเก็บตัวอย่างดังกล่าว ตามมาตรฐาน USEPA Method 325A และ 325B เพื่อให้ศึกษาแนวโน้มคุณภาพอากาศของพื้นที่ โดยบริษัทฯ มีการบริหารจัดการสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) โดยยึดหลักกลไกการปฏิบัติที่ดี (Code of Practice) อันนำไปสู่การกำหนดเป็นค่ามาตรฐานที่เหมาะสมต่อไป