โครงการความรับผิดชอบต่อสังคม
บริษัทฯ ดำเนินโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและโครงการที่เป็นประโยชน์อื่นๆ ภายใต้ CSR Master Programs ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสมดุลด้าน 2E1S และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
โครงการและกิจกรรมเพื่อสังคมในปี 2567

จำนวนกิจกรรมและโครงการเพื่อสังคม
โครงการ

จำนวนจังหวัดที่ได้เข้าไปดำเนินกิจกรรมและโครงการเพื่อสังคม
จังหวัด

จำนวนชุมชนที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการและกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม
ชุมชน
ผลลัพธ์จากกิจกรรมและโครงการเพื่อสังคม | ปี 2564 | ปี 2565 | ปี 2566 | ปี 2567 |
---|---|---|---|---|
จำนวนกิจกรรมและโครงการเพื่อสังคม | 217 โครงการ | 372 โครงการ | 96 โครงการ | 155 โครงการ |
จำนวนจังหวัดที่ได้เข้าไปดำเนินกิจกรรมและโครงการเพื่อสังคม | 77 จังหวัด | 12 จังหวัด | 13 จังหวัด | 55 จังหวัด |
จำนวนชุมชนที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการและกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม | 88 ชุมชน | 88 ชุมชน | 88 ชุมชน | 98 ชุมชน |
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดลำดับความสำคัญของโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมบนพื้นฐานของ 3 องค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การแบ่งปัน และระบบนิเวศ โดยครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม
ด้านเศรษฐกิจ
ด้านสังคม
ด้านสิ่งแวดล้อม
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนและสังคมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าสูงสุดต่อสังคมและธุรกิจ
คำอธิบายความสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบความรับผิดชอบต่อสังคมและการขับเคลื่อนทางธุรกิจ
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนและสังคม เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ รายได้และเศรษฐกิจรวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ภายใต้แนวคิดความเป็นอยู่อย่างพอเพียง (Self-Sufficiency) และยั่งยืน (Self-Sustainability) ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งดำเนินโครงการและกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมที่สนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทฯ พร้อมกับพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อมอบคุณค่าในระยะยาวให้กับสังคม
ในปีที่ผ่านบริษัทฯ ร่วมกับหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานเอกชน นำพลาสติกที่ใช้แล้วมาสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประโยชน์ให้กับสังคม มีการดำเนินโครงการ อาทิ
โครงการขับเคลื่อนการจัดการขยะแบบ Closed Loop ส่งเสริมการคัดแยกขยะเพื่อชุมชนยั่งยืน ณ สวน 50 สุข
บริษัทฯ ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตคลองเตย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และอิชิตัน กรุ๊ป พัฒนาพื้นที่เขตทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณซอยสุขุมวิท 50 ให้เป็นสวนสาธารณะ “สวน 50 สุข” โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดมลพิษทางอากาศ PM 2.5 และโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้นของกรุงเทพมหานคร
โดยบริษัทฯ ได้นำ GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม มาบริหารจัดการขยะแบบ Closed Loop ส่งเสริมให้ชุมชนเห็นประโยชน์ของการหมุนเวียนทรัพยากร ผ่านการมีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อนำกลับเข้าสู่ Circular Economy หมุนเวียนนำขยะกลับมาสร้างคุณค่าใหม่ ตลอดจนสนับสนุนให้พื้นที่สวนสาธารณะ 50 สุขแห่งนี้ กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบในการส่งต่อแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน และมีส่วนช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับคนในชุมชนต่อไป

โครงการ ขวดน้ำดื่ม “น้ำใจไทยพาณิชย์ rPET”
บริษัทฯ ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ผลิตขวดน้ำดื่ม “น้ำใจไทยพาณิชย์ rPET” ซึ่งเป็นขวดพลาสติกที่ผลิตโดยโรงงานรีไซเคิลพลาสติกคุณภาพสูง ENVICCO ซึ่งสามารถลดปริมาณพลาสติกใหม่จำนวน 1.3 ล้านขวดเทียบเท่ากับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ 2,200 ต้นในเวลา 1 ปี และคิดเป็นการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการใช้เม็ดพลาสติกผลิตขวดน้ำแบบเดิมถึงร้อยละ 60 ตลอดจนธนาคารได้วางนโยบายขยายผลเพิ่มการเก็บกลับขวดพลาสติกใช้แล้วโดยร่วมมือกับ GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เพื่อนำขวดพลาสติกเข้าสู่ระบบเพิ่มปริมาณการรีไซเคิล และนำกลับมาสร้างประโยชน์ใหม่ให้ได้มากที่สุดตามแนวเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ "บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ" สานพลังร่วมกับชุมชนแก้ปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างยั่งยืน
บริษัทฯ ร่วมมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ชุมชนบางน้ำผึ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนารูปแบบการจัดการขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างยั่งยืน โดยเลือกพื้นที่นำร่องที่วัดบางน้ำผึ้งนอก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นจุดที่มีปัญหาขยะจำนวนมาก และมีความสำคัญในฐานะแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำ โดยจิตอาสาและชุมชนร่วมกันเก็บขยะจากแม่น้ำและริมตลิ่งนำมาคัดแยกขยะพลาสติกออกจากขยะทั่วไป เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลผ่าน “GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม” พลาสติกใช้แล้วจะถูกแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า ช่วยลดขยะพลาสติกที่อาจไหลลงทะเลและสร้างปัญหาต่อระบบนิเวศ โครงการยังส่งเสริมความรู้ด้านการคัดแยกและจัดการขยะในชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

โครงการ Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2
บริษัทฯ ร่วมมือกับ AIS ดำเนินโครงการ Green University “ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 2” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของน้อง ๆ นิสิต นักศึกษา และคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมถึงความเข้าใจในการจัดการขยะทั้งขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถรวบรวมได้มากกว่า 1,058,634 ชิ้น ภายในระยะเวลา 2 เดือนจากการเก็บขยะพลาสติกใช้แล้วผ่าน GC YOUเทิร์น และขยะอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปพลิเคชัน AIS E-Waste+

โครงการ Community Waste Model
บริษัทฯ ร่วมกับ ENVICCO ดำเนินโครงการ Community Waste Model ตั้งแต่ปี 2563 โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการจัดการขยะรีไซเคิลในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมทั้งมองหาชุมชนต้นแบบในจังหวัดระยองที่มีศักยภาพในการจัดการขยะรีไซเคิลอย่างมีระบบ โครงการนี้มุ่งพัฒนาชุมชนให้สามารถยกระดับเป็นศูนย์บริหารและจัดการขยะรีไซเคิลครบวงจร โดยสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์ฯ ร่วมกับการส่งเสริมให้ชุมชนจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน พร้อมร่วมมือกันวางแผนพัฒนาและบริหารศูนย์ฯ อย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนจากฐานรากอย่างแท้จริง

ในปี 2567 โครงการ Community Waste Model สามารถรวบรวมพลาสติกใช้แล้ว เข้าสู่ ENVICCO มากกว่า 300 ตัน ทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชน ทำให้วิสาหกิจชุมชนมีรายได้มากกว่า 6 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดเตรียมแผนขยายผลโครงการฯ ร่วมกับชุมชนหรือพันธมิตรไปสู่พื้นที่อื่น ๆ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2568 บริษัทฯ ปรับรูปแบบการดำเนินงานโครงการ โดยใช้รูปแบบการพัฒนาและการลงทุน (Co-Development Model) ร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และชุมชนหรือพันธมิตร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเป็นเจ้าของร่วม (Co-Ownership) อย่างยั่งยืน และสร้างประโยชน์หลากหลายด้าน อาทิ ชุมชนมีแรงจูงใจในการดูแลและพัฒนาต่อยอด เกิดเป็นต้นแบบให้ชุมชนหรือบริษัทอื่นได้เรียนรู้ ช่วยให้โครงการเติบโต และสามารถขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นได้ โดยบริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้และคำแนะนำ ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการขยะรีไซเคิลชุมชน 11 แห่งในระยอง นครปฐม สมุทรปราการ และปราจีนบุรี และได้จัดตั้งศูนย์ฯ ร่วมกับพันธมิตร 3 ราย ได้แก่ กองเรือยุทธการ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และ PPP Plastics รวมจำนวน 6 แห่งในระยอง และชลบุรี

ตัวชี้วัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Business Benefit KPI)
- ขวดพลาสติกใช้แล้วของชุมชนมีคุณภาพดี ทำให้ Yield การผลิตของบริษัท ENVICCO สูงขึ้นร้อยละ 15
- สร้างการรับรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายและสาธารณชน โดยวัดผลจากมูลค่าทางการประชาสัมพันธ์ (PR Value) 4,965,000 บาท
- เสริมสร้างขีดความสามารถด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมของบริษัทฯ
- เสริมสร้างการบรรลุเป้าหมายและภาพลักษณ์ด้านการเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน
ตัวชี้วัดผลทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social / Environmental Benefit KPI)
1.
ผลลัพธ์ทางสังคมจากการลงทุน (SROI) เท่ากับร้อยละ
2.
สร้างรายได้ให้ชุมชนจากการขายขยะเข้าสู่ระบบรีไซเคิลมากกว่า
ล้านบาท/ปี
3.
สามารถนำขวด PET/HDPE กลับมารีไซเคิลได้รวมทั้งหมดประมาณ
ตันในปี 2567
4.
ลดภาระค่ากำจัดขยะของหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นอาทิ เทศบาลนครมาบตาพุด ได้ถึง
บาท/ปี
5.
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic) และการฝังกลบได้
กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่
ต้น เพื่อดูดซับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้น
การแบ่งปัน
แบ่งปันความเชี่ยวชาญสู่สังคม และบรรลุการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ
คำอธิบายความสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบความรับผิดชอบต่อสังคมและการขับเคลื่อนทางธุรกิจ
โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทฯ มีส่วนช่วยในการสร้างความแข็งแรงให้กับองค์กร โดยการแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทฯ และได้รับการยอมรับจากชุมชนและสังคม พร้อมกับได้รับความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสียของบริษัท โดยในปีที่ผ่านมีการดำเนินโครงการ อาทิ
โครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ “Fun Science Lab” ในจังหวัดระยอง
บริษัทฯ ร่วมมือกับคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวโครงการ “ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ Fun Science Lab” ที่โรงเรียนบ้านหนองแฟบ จังหวัดระยอง โดยมีเป้าหมายสนับสนุนการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเยาวชนผ่านการเรียนการสอนแบบ Active Learning เน้นการลงมือปฏิบัติจริงและพัฒนาความรู้และศักยภาพเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนต่อและการประกอบอาชีพในอนาคต ห้องเรียนแห่งนี้มีอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่น โมเดลร่างกายมนุษย์ แบบจำลองดาราศาสตร์ กล้องจุลทรรศน์ และการทดลองวิทยาศาสตร์กว่า 50 ชุด เป็นต้น เพื่อสร้างเสริมจินตนาการและความรู้ให้นักเรียน นอกจากนี้ยังมีเครื่องพิมพ์ 3 มิติและชุดทดลองเคมีสำหรับการเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับสารเคมีในชีวิตประจำวันและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ โครงการนี้คาดหวังให้ห้องเรียนนี้เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืนในอนาคต

โครงการพัฒนาบูรณาการและต่อยอดฐานการเรียนรู้การฝึกอาชีพ ภายใต้ชื่อ “กินเตี๋ยว เหลียวแลควาย”
โครงการ “กินเตี๋ยว เหลียวแลควาย” มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะอาชีพและพฤตินิสัยของผู้ต้องขัง ผ่านกิจกรรมการฝึกอาชีพในหลากหลายด้าน โดยผู้ต้องขังจะได้รับโอกาสเรียนรู้ทักษะการทำเมนูก๋วยเตี๋ยว การบริการลูกค้า รวมถึงการบริหารร้านอาหารเบื้องต้นจากประสบการณ์จริงภายใต้วิชาชีพการทำร้านก๋วยเตี๋ยว โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ต้องขังสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพหลังพ้นโทษ ให้สามารถในการเลี้ยงดูครอบครัว ลดโอกาสในการกลับมากระทำความผิดซ้ำ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมในการต้อนรับกลับสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ ร่วมกับทัณฑสถานเปิดห้วยโป่งระยอง พัฒนาโครงการบูรณาการและการต่อยอดฐานการเรียนรู้และฝึกวิชาชีพผ่านกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมแนวทางการพัฒนาพฤตินิสัยให้แก่ผู้ต้องขัง สร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพื่อนมนุษย์ โดยดำเนินงานตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน

โครงการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มลุฟฟาลา (LUFFALA Community Enterprise)
บริษัทฯ ร่วมมือกับสำนักงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มลุฟฟาลา พัฒนาชุดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวโดยใช้ส่วนผสมจากสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ (Bio Surfactant) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับสากล ยกระดับการสร้างงานและรายได้ให้แก่ชุมชน (Decent Work and Economic Growth) และยังช่วยให้คำปรึกษากับชุมชนด้านการผลิต การตลาดและการทำบัญชี จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ในปีที่ผ่านมา วิสาหกิจชุมชนกลุ่มลุฟฟาลา ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ Body Wash ยอดเยี่ยม และรางวัล ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมยอดเยี่ยม ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำแร่จากสารสกัดใบบัวบก และได้รับการรับรองฉลาก Carbon Footprint Products (CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ (Bio Surfactant) และบรรจุภัณฑ์จากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการส่งเสริมให้ชุมชนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อม และเป็นตัวอย่างของการผสานความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ และชุมชนที่ส่งเสริมคุณค่าอย่างยั่งยืน

รายได้จากการดำเนินงานโครงการ LUFFALA
ปี | สร้างรายได้ให้ชุมชน | กำไรของ LUFFALA |
---|---|---|
2564 | 3,986,122 บาท | 730,201 บาท |
2565 | 2,510,324 บาท | 558,511 บาท |
2566 | 2,030,035 บาท | 519,808 บาท |
2567 | 1,586,795 บาท | 392,623 บาท |

ตัวชี้วัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Business Benefit KPI)
- แสดงจุดยืนในการขับเคลื่อนการสร้างคุณค่าทางธุรกิจร่วมกันกับสังคม
- เป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัทฯ ในการเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน
- สร้างรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากโครงการกว่า 1,586,795 บาท
ตัวชี้วัดผลประโยชน์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social / Environmental Benefit KPI)
1.
ผลลัพธ์ทางสังคมจากการลงทุน (SROI) เท่ากับ
2.
สร้างรายได้ให้กับชุมชนและวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดระยอง กว่า
บาท/ปี
ระบบนิเวศ
พัฒนาความยั่งยืนของระบบนิเวศ เพื่อชดเชยผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
คำอธิบายความสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบความรับผิดชอบต่อสังคมและการขับเคลื่อนทางธุรกิจ
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับวิธีการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการมีระบบนิเวศที่ยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) โดยดำเนินโครงการเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของที่ตั้งพื้นที่ปฏิบัติงานของบริษัทฯ โดยในปีที่ผ่านมีการดำเนินโครงการ อาทิ
โครงการ เดินหน้าความยั่งยืน ฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลน
บริษัทฯ เข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนจากบริษัทเอกชนกว่า 33 องค์กร เข้าร่วมงานที่จัดขึ้น ณ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลนผ่านเครือข่าย Thailand Mangrove Alliance อย่างเป็นรูปธรรม ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
