บริษัทฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่องของความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลทางด้านภาษี โดยให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานและสถาบันต่างๆ ในการสนับสนุนและพัฒนาระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพในประเทศที่บริษัทฯ มีการดำเนินธุรกิจ

ตามตารางด้านล่างแสดงข้อมูลรายได้รวมของกลุ่มบริษัทฯ แยกตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เสียภาษีประจำปี 2566

รายได้แยกตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เสียภาษีประจำปี 2566
ประเทศไทย ร้อยละ 84
อเมริกา ร้อยละ 3
จีน ร้อยละ 2
เยอรมัน ร้อยละ 2
ฝรั่งเศส ร้อยละ 1
ประเทศอื่น ๆ ร้อยละ 8

รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์หลักแยกตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของลูกค้า ประจำปี 2566

สัดส่วนรายได้จากการขายจากธุรกิจหลัก

ตามภูมิศาสตร์ปี 2566

หมายเหตุ:
  • กราฟด้านบนนี้อธิบายถึงรายได้จากการขายของผลิตภัณฑ์ที่แยกแสดงตามสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของลูกค้า
  • รายได้จากการขายมากกว่า 80% ที่รายงานในงบการเงินรวม มาจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

รายได้จากการขายรวมของกลุ่มบริษัทฯ หากแยกตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เสียภาษีส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทย รัฐบาลได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับธุรกิจที่เข้ากฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับในหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น i) การยกเว้นภาษี (Tax Exemption) ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดในประเทศสิงคโปร์ และ ii) การยกเว้นภาษี (Tax Holiday) เป็นเวลาห้าถึงสิบปี ตามกฎหมายของรัฐบาลกลางในระดับภูมิภาคของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการลงทุน ก่อให้เกิดการสร้างงานและการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนช่วยในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินกิจการโดยส่วนใหญ่ในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) แห่งประเทศไทย สิทธิยกเว้นภาษีที่ได้รับจาก BOI แบ่งออกเป็นสามเรื่องหลัก อันได้แก่ (ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.boi.go.th/index.php?page=incentive&language=th)

  • การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 8 ปี นับแต่วันที่เริ่มมีรายได้
  • ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นระยะเวลา 5 ปี
  • อนุญาตให้หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปา 2 เท่า ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 10 ปี

เมื่อเร็วๆ นี้ BOI ของประเทศไทย ได้ประกาศมาตรการใหม่สำหรับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีขั้นต่ำทั่วโลกภายใต้โครงการ BEPS 2.0 Pillar 2 โดยอนุญาตให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม BOI ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไข สามารถเลือกใช้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ร้อยละ 50 ของอัตราปกติที่ร้อยละ 20 ดังนั้นทำให้อัตรา CIT เหลือร้อยละ 10 สำหรับระยะเวลายกเว้นภาษีที่เหลืออยู่ ซึ่งจำกัดไว้ไม่เกินสิบปี อีกทั้ง กรมสรรพากรไทยอยู่ระหว่างการร่างพระราชบัญญัติภาษีส่วนเพิ่ม (Pillar 2 - Global Anti-Base Erosion Rules) โดยมีกรอบเวลาการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้อนุมัติภายในปี 2566 และมีผลใช้บังคับในปี 2568 ดังนั้นกลุ่มบริษัท GC จึงคอยติดตามและประเมินผลกระทบจากกฎหมาย BEPS 2.0 Pillar 2 รวมถึงการพิจารณาตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ของ BOI ร่วมด้วย

สำหรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT) ของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิทางภาษี ในขณะที่อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate: ETR) ของบาง Business Unit ในกลุ่มบริษัทฯ โดยทั่วไปจะต่ำกว่า เนื่องจากได้รับการยกเว้นและลดหย่อนภาษีจาก BOI ตามที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตามอัตราภาษีที่แท้จริงจะแตกต่างกันไปในแต่ละปีขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีผลบังคับใช้ของสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวและผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

กลุ่มบริษัทฯ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลรายงานภาษีแยกรายประเทศ (Tax Reporting by Countries) และอัตราภาษีที่ได้รายงาน และอัตราภาษีที่จ่ายจริง (Reported Tax Rate and Cash Tax Rate) ซึ่งเป็นการรายงานที่อยู่นอกเหนือจากข้อกำหนดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานราชการในประเทศไทย